วันอังคารที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2559

Questionnaire1

https://docs.google.com/forms/d/1e0dxKahyU1mmj9NiWzj2ofqreRw-DNXTjaM001Cnio4/edit?usp=drive_web

FinalDetail1

ฝ่ายห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ (Computer Laboratory)

ห้องปฏิบัติการ (เรียกสั้นๆว่า ห้องแล็บ) คือสถานที่ซึ่งอยู่ในสภาวะที่ถูกควบคุม

และเป็นที่สำหรับการวิจัย การทดลอง และการวัดทางวิทยาศาสตร์หรือทางเทคนิค

ห้องปฏิบัติการซึ่งใช้สำหรับการวิจัยทางวิทยาศาสตร์นั้นมีหลายแบบ

ด้วยความที่แต่ละภาควิชาของวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์นั้นมีความต้องการเฉพาะที่ต่างกัน

ห้องปฏิบัติการทางฟิสิกส์อาจมีเครื่องเร่งอนุภาค หรือห้องสุญญากาศ ส่วนห้องปฏิบัติการทางวิศวกรรมโลห

ะการอาจมีเครื่องมือในการหล่อหรือการกลั่นเหล็ก

หรือในการทดสอบความแข็งแรงของเหล็กเหล่านั้น นักเคมีหรือนักชีววิทยาอาจใช้ห้องปฏิบัติการแบบเปียก

ส่วนห้องปฏิบัติการของนักจิตวิทยาอาจเป็นห้องซึ่งมีกระจกด้านเดียวติดอยู่รวมไปถึงมีกล้องซ่อนไว้เพื่อเฝ้า

ดูพฤติกรรม บางห้องปฏิบัติการ เช่น ห้องที่นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ใช้ อาจมีคอมพิวเตอร์

(บางครั้งอาจเป็นซูเปอร์คอมพิวเตอร์)

เพื่อใช้สำหรับการจำลองหรือการวิเคราะห์ข้อมูลซึ่งมาจากที่อื่น นักวิทยาศาสตร์ในภาควิชาอื่นอาจใช้ห้องป

ฏิบัติการแบบอื่น วิศวกรใช้ห้องปฏิบัติการในการออกแบบ สร้าง หรือทดสอบเครื่องมือทางเทคโนโลยีต่างๆ

ฝ่ายห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ มีหน้าที่และรับผิดชอบในกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับ

การบริการ จัดหา ติดตั้ง และบำรุงรักษาคอมพิวเตอร์ประจำห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์

เพื่อการเรียนการสอนและจัดการฝึกอบรมความรู้ทางคอมพิวเตอร์รวมถึงปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่ศูนย์คอ

มพิวเตอร์มอบหมาย

ปัจจุบันฝ่ายห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์มีหน้าที่หลักดูแลห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์

เพื่อการเรียนการสอน ที่ตั้งอยู่ ณ อาคารเรียนรวม 1 และอาคารเรียนรวม 2

โดยแบ่งออกเป็นห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ ขนาด 61 เครื่อง (ผู้สอน 1 เครื่อง,นักศึกษา 60 เครื่อง,

สำรองใช้งาน 5 เครื่อง) จำนวน 8 ห้อง และห้องบริการคอมพิวเตอร์ ณ อาคารเรียนรวม 1 และ 2

ซึ่งมีเครื่องคอมพิวเตอร์ให้บริการ รวมทั้งสิ้น 55 เครื่อง และเครื่องพิมพ์ จำนวน 2 เครื่อง

และเครื่องสแกนเนอร์ จำนวน 4 เครื่อง

ฝ่ายห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ เปิดให้บริการวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 08.00 - 20.00 น.

โดยมีเจ้าหน้าที่คอยให้คำปรึกษา แนะนำ ทางด้านเทคนิค ตลอดจนแก้ปัญหาการใช้งานทั้งทางด้าน

ซอฟต์แวร์ (Software) และ ฮาร์ดแวร์ (Hardware) ตลอดระยะเวลาให้บริการ

ฝ่ายห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ จะก้าวไปภายใต้การนำของศูนย์คอมพิวเตอร์

เพื่อเป็นหน่วยงานด้านบริการที่มีประสิทธิภาพ มีความสำนึก ในบทบาทและหน้าที่

โดยจะยึดมั่นในปณิธาน วิสัยทัศน์ของศูนย์คอมพิวเตอร์ เพื่อที่จะให้บริการแก่นักศึกษา อาจารย์

บุคลากร หน่วยงานภายใน และหน่วยงานภายนอกของมหาวิทยาลัย อย่างเต็มกำลังความสามารถเพื่อให้

บรรลุถึงจุดมุ่งหมายในการพัฒนาบัณฑิตที่มีคุณภาพให้แก่สังคม

และร่วมกันพัฒนาองค์กรให้ก้าวขึ้นสู่มหาวิทยาลัยระดับแนวหน้าของภูมิภาคต่อไป

ความปลอดภัย

สภาพภายในห้องปฏิบัติการบางแห่งนั้นไม่ได้อันตรายไปกว่าห้องอื่นๆ

ทว่าในห้องแล็บบางที่นั้นอาจมีอันตรายอยู่

โดยอันตรายในห้องปฏิบัติการนั้นมีหลายแบบขึ้นอยู่กับสิ่งที่ถูกศึกษาในห้องแล็บ

เหล่านั้นอาจรวมไปถึงพิษจุลชีพก่อโรควัตถุไวไฟสารที่ระเบิดได้หรือวัสดุการสลายให้กัมมันตรังสี เครื่องจั

กร อุณหภูมิสูงหรือต่ำมาก เลเซอร์ สนามแม่เหล็กแรงสูง

หรือ ไฟฟ้าแรงสูง ในห้องปฏิบัติการซึ่งอาจมีอันตราย การระมัดระวังเป็นสิ่งสำคัญ

กฎในห้องปฏิบัติการนั้นถูกกำหนดขึ้นเพื่อลดความเสี่ยง

และอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลถูกใช้เพื่อปกป้องผู้ใช้ห้องปฏิบัติการจากการบาดเจ็บหรือเพื่อช่วยขณะเกิดเห

ตุการณ์ฉุกเฉิน

สำนักงานบริหารงานความปลอดภัยและอาชีวอนามัย(OSHA)

ในสหรัฐอเมริกาซึ่งเห็นถึงลักษณะพิเศษของการทำงานในห้องปฏิบัติการได้สร้างมาตรฐานสำหรับค

วามเสี่ยงต่อสารเคมีอันตรายในห้องปฏิบัติการ โดยปกติแล้วมาตรฐานนี้ถูกเรีกยวา

"มาตราฐานห้องปฏิบัติการ" ภายใต้มาตราฐานนี้ ห้องปฏิบัติการต้องสร้าง แผนสุขอนามัยสารเคมี (CHP)

ซึ่งจัดการกับอันตรายเฉพาะจุดและวิธีควบคุมอันตรายเหล่านั้น

การจัดพื้นที่ใช้สอยภายในห้องปฏิบัติการ

สิ่งหนึ่งที่ต้องคำนึงที่สุดคือการบริหารพื้นที่ที่มีอยู่ให้เกิดความปลอดภัยโดยมีพื้นที่พอเพียงสำหรับปฏิบัติงาน

ต้องคำนึงถึงการปฏิบัติงานในแต่ละขั้นตอนจำนวนเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงาน การกำหนดพื้นที่ใน

ห้องปฏิบัติการต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่าง เช่น

1. ลักษณะและขอบข่ายงานที่ปฏิบัติ ต้องพิจารณาว่างานที่ทำอยู่ในห้องปฏิบัติการนั้นเป็นงานที่

เกี่ยวข้องกับอะไรบ้าง เช่น เป็นการทดลองเกี่ยวกับพืช การทดลองเกี่ยวกับสัตว์ การทดลอง เกี่ยวกับเชื้อจุลชีพ

การทดลองที่ต้องสัมผัสกับสิ่งส่งตรวจ เป็นต้น เพื่อที่จะได้จัดสรรและ

ออกแบบพื้นที่ให้เหมาะสมสำหรับปฏิบัติงาน

2. อุปกรณ์และเครื่องมือ เครื่องมือนับเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับการปฏิบัติงานในห้องปฏิบัติการ

การจัดวางเครื่องมือให้เหมาะสมกับพื้นที่ต้องคำนึงถึง ความจำเป็นและความถี่ในการใช้งาน

ขนาดของเครื่องมือ ความสะดวกในการขนย้ายหรือทำความสะอาด

3. จำนวนผู้ปฏิบัติงาน ควรจัดสรรพื้นที่ให้เหมาะสมและพอเพียงต่อผู้ปฏิบัติงาน โดยต้องแบ่งพื้นที่

ของเจ้าหน้าที่ที่ทำการทดลองให้มากกว่าพื้นที่ของเจ้าหน้าที่ที่ทำงานด้านธุรการและเอกสาร

วันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2559

ความประทับใจในมหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด

ความประทับใจในมหาวิทยาลัยราชภัฏ

ร้อยเอ็ด








ม ห า วิ ท ยา ลั ย รา ช ภั ฏ ร้ อ ย เ อ็ ด
“มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ดเป็นสถานศึกษาที่มีคุณภาพ ภายใต้ร่มธรรม ร่มรื่น ร่มเย็น”

มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ดเป็นสถาบันอุดมศึกษาเพื่อพัฒนาท้องถิ่น ดำเนินการจัดการศึกษาตั้งแต่ระดับปริญญาตรีขึ้นไป
สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา กระทรวงศึกษาธิการตั้งอยู่บนถนนสายร้อยเอ็ด
 - โพนทอง
ห่างจากสนามบินร้อยเอ็ดประมาณ 12 กิโลเมตร เป็นมหาวิทยาลัยที่มุ่งมั่นในการเสริมสร้างความรู้และพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนและเป็นแหล่งความรู้ตลอดชีวิตของท้องถิ่นต่อไป

การพัฒนา

มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ดมุ่งสู่ความเป็นมหาวิทยาลัยคุณภาพควบคู่กับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ
โดยใช้ 
Q-GREEN เป็นแนวทางในการขับเคลื่อนมหาวิทยาลัยไปสู่เป้าหมายและทิศทางการพัฒนามหาวิทยาลัย “Q-GREEN
ประกอบด้วย

 Q (Quality)                     : คุณภาพของนักศึกษา คุณภาพของหลักสูตร และคุณภาพของบุคลากร

 G (Good Governance)   : มีการบริหารจัดการโดยใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหารงานเพื่อการบริหารจัดการที่ดีในการปฏิบัติงาน
 R (Research – Based)    : ส่งเสริมและสนับสนุนให้บุคลากรมีผลงานวิจัย หรือสามารถร่วมเป็นทีมนักวิจัยได้ 
 E (Economy Sufficiency) : ประยุกต์ใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในการปฏิบัติงานเพื่อเป็นร่มธรรมและเกิดความร่มเย็น
 E (Environment)               : พัฒนา ปรับปรุงภูมิทัศน์และสภาพแวดล้อมให้ร่มรื่น น่าอยู่ น่าเรียน มีบรรยากาศทางวิชาการ

 N (Network)                     : สร้างเครือข่ายความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งระดับท้องถิ่นและความ ร่วมมือกับประเทศอาเซียนและสากล



อย่างที่เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี ว่า ในมหาวิทยาลัยเรา มี พื้นที่ที่เป็นบริเวณสีเขียว มีธรรมชาติ รอบตัวเรา ทำให้บรรยากาศภายในบริเวณมหาลัยเป็นไปอย่างสงบ มีความเป็นธรรมชาติ ถือเป็นมหาลัยสีเขียวก็ว่าได้เลย เพราะมหาลัยเน้นการพัฒนาควบคู่ไปกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม


ความประทับในใจมหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด


- มีการอนุรักษ์วัฒนาธรรมของภาคอีสานได้เป็นอย่างดี
- มหาลัยตั้งอยู่บริเวณที่ใกล้กับธรรมชาติ ทำให้บรรยากาศสงบ เย็น
- ค่าใช้จ่ายภายในมหาลัย ไม่สูงจนเกินไป
- มีการปลูกจิตสำนึกที่ดี ในการรักบ้านเกิด

วันอังคารที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2559

ประวัติอาหารไทย




อาหารไทย เป็นอาหารประจำของชนชาติไทย ที่มีการสั่งสมและถ่ายทอดมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่อดีต จนเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติถือได้ว่าอาหารไทยเป็นวัฒนธรรมประจำชาติที่สำคัญของไทยขณะที่อาหารพื้นบ้านหมายถึง อาหารที่นิยมรับประทานกันเฉพาะท้องถิ่น ซึ่งเป็นอาหารที่ทำขึ้นได้ง่าย โดยอาศัยพืชผักหรือเครื่องประกอบอาหารที่มีอยู่ในท้องถิ่นมีการสืบทอดวิธีปรุงและการรับประทานต่อๆ กันมา
จุดกำเนิดอาหารไทย อาหารไทยมีจุดกำเนิดพร้อมกับการตั้งชนชาติไทย และมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนถึงปัจจุบัน เรื่องความเป็นมาของอาหารไทยยุคต่างๆ สรุปได้ดังนี้


สมัยสุโขทัย
อาหารไทยในสมัยสุโขทัยได้อาศัยหลักฐานจากศิลาจารึกและวรรณคดี สำคัญคือ ไตรภูมิพระร่วงของพญาลิไท ที่ได้กล่าวถึงอาหารไทยในสมัยนี้ว่า มีข้าวเป็นอาหารหลัก โดยกินร่วมกับกับข้าว ที่ส่วนใหญ่ได้มาจากปลา มีเนื้อสัตว์อื่นบ้าง การปรุงอาหารได้ปรากฏคำว่า แกง” ใน ไตรภูมิพระร่วงที่เป็นที่มาของคำว่า ข้าวหม้อแกงหม้อ ผักที่กล่าวถึงในศิลาจารึก คือ แฟง แตงและน้ำเต้า ส่วนอาหารหวานก็ใช้วัตถุดิบพื้นบ้าน เช่น ข้าวตอกและน้ำผึ้งส่วนหนึ่งนิยมกินผลไม้แทนอาหารหวาน


 สมัยอยุธยา
สมัยนี้ถือว่าเป็นยุคทองของไทยได้มีการติดต่อกับชาวต่างประเทศมากขึ้นทั้งชาวตะวันตกและตะวันออกจากบันทึกเอกสารของชาวต่างประเทศ พบว่าคนไทยกินอาหารแบบเรียบง่ายยังคงมีปลาเป็นหลัก มีต้ม แกงและคาดว่ามีการใช้น้ำมันในการประกอบอาหารแต่เป็นน้ำมันจากมะพร้าวและกะทิมากกว่าไขมันหรือน้ำมันจากสัตว์มากขึ้น คนไทยสมัยนี้มีการถนอมอาหาร เช่นการนำไปตากแห้ง หรือทำเป็นปลาเค็ม มีอาหารประเภทเครื่องจิ้ม เช่นน้ำพริกกะปิ นิยมบริโภคสัตว์น้ำมากกว่าสัตว์บก โดยเฉพาะสัตว์ใหญ่ไม่นิยมนำมาฆ่าเพื่อใช้เป็นอาหาร ได้มีการกล่าวถึงแกงปลาต่างๆ ที่ใช้เครื่องเทศ เช่น แกงที่ใส่หัวหอม กระเทียม สมุนไพรหวาน และเครื่องเทศแรงๆ ที่คาดว่านำมาใช้ประกอบอาหารเพื่อดับกลิ่นคาวของเนื้อปลา หลักฐานจากการบันทึกของบาทหลวงชาวต่างชาติที่แสดงให้เห็นว่าอาหารของชาติ ต่าง ๆ เริ่มเข้ามามากขึ้นในสมเด็จพระนารายณ์ เช่น ญี่ปุ่น โปรตุเกส เหล้าองุ่นจากสเปนเปอร์เซีย และฝรั่งเศส สำหรับอิทธิพลของอาหารจีนนั้นคาดว่าเริ่มมีมากขึ้นในช่วงยุคกรุงศรีอยุธยา ตอนปลายที่ ไทยตัดสัมพันธ์กับชาติตะวันตก ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าอาหารไทยในสมัยอยุธยา ได้รับเอาวัฒนธรรมจากอาหารต่างชาติ โดยผ่านทางการมีสัมพันธไมตรีทั้งทางการทูตและทางการค้ากับประเทศต่างๆ และจากหลักฐานที่ปรากฏทางประวัติศาสตร์ว่าอาหารต่างชาติส่วนใหญ่แพร่หลายอยู่ในราชสำนัก ต่อมาจึงกระจายสู่ประชาชน และกลมกลืนกลายเป็นอาหารไทยไป ในที่สุด



สมัยธนบุรี
จากหลักฐานที่ปรากฏในหนังสือแม่ครัวหัวป่าก์ ซึ่งเป็นตำราการทำกับข้าวเล่มที่ ของไทย ของท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงษ์ พบความต่อเนื่องของวัฒนธรรมอาหารไทยจากกรุงสุโขทัยมาถึงสมัยอยุธย และสมัยกรุงธนบุรี และยังเชื่อว่าเส้นทางอาหารไทยคงจะเชื่อมจากกรุงธนบุรีไปยังสมัยรัตนโกสินทร์โดยผ่านทางหน้าที่ราชการและสังคมเครือญาติ และอาหารไทยสมัยกรุงธนบุรีน่าจะคล้ายคลึงกับสมัยอยุธยา แต่ที่พิเศษเพิ่มเติมคือมีอาหารประจำชาติจีน [แก้] สมัยรัตนโกสินทร์ การศึกษาความเป็นมาของอาหารไทยในยุครัตนโกสินทร์นี้ได้จำแนกตามยุคสมัยที่ นักประวัติศาสตร์ได้กำหนดไว้ คือ ยุคที่ ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ จนถึงรัชกาลที่และยุคที่ ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ จนถึงรัชกาลปัจจุบัน ดังนี้


สมัยรัตนโกสินทร์ ยุคที่ 1 (พ.ศ. 2325 – พ.ศ. 2394)                                                                                                                
  อาหารไทยในยุคนี้เป็นลักษณะเดียวกันกับสมัยธนบุรีแต่มีอาหารไทยเพิ่มขึ้นอีก ประเภท คือ นอกจากมีอาหารคาวอาหารหวานแล้วยังมีอาหารว่างเพิ่มขึ้น ในช่วงนี้อาหารไทยได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมอาหารของประเทศจีนมากขึ้น และมีการปรับเปลี่ยนเป็นอาหารไทย ในที่สุด จากจดหมายความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวี ที่กล่าวถึงเครื่องตั้งสำรับคาวหวานของพระสงฆ์ ในงานสมโภชน์พระพุทธมณีรัตนมหาปฏิมากร (พระแก้วมรกต)                                   ได้แสดงให้เห็นว่ารายการอาหารนอกจากจะมีอาหารไทย เช่น ผัก น้ำพริก ปลาแห้ง หน่อไม้ผัด แล้วยังมีอาหารที่ปรุงด้วยเครื่องเทศแบบอิสลาม และมีอาหารจีนโดยสังเกตจากการใช้หมูเป็นส่วนประกอบ เนื่องจากหมูเป็นอาหารที่คนไทยไม่นิยม แต่คนจีนนิยม                                                                                                                                                                           
        บทพระราชนิพนธ์กาพย์เห่เรือชมเครื่องคาวหวานของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยได้ ทรงกล่าวถึงอาหารคาวและอาหารหวานหลายชนิด ซึ่งได้สะท้อนภาพของอาหารไทยในราชสำนักที่ชัดเจนที่สุด ซึ่งแสดงให้เห็นลักษณะของอาหารไทยในราชสำนักที่มีการปรุงกลิ่น และรสอย่างประณีต และให้ความสำคัญของรสชาติอาหารมากเป็นพิเศษ และถือว่าเป็นยุคสมัยที่มีศิลปะการประกอบอาหารที่ค่อนข้างสมบูรณ์ที่สุด ทั้งรส กลิ่น สี และการตกแต่งให้สวยงามรวมทั้งมีการพัฒนาอาหารนานาชาติให้เป็นอาหารไทยจากบทพระราชนิพนธ์ทำให้ได้รายละเอียดที่เกี่ยวกับการแบ่งประเภทของอาหาร คาวหรือกับข้าวและอาหารว่าง                                                                                                                              
              ส่วนทีเป็นอาหารคาวได้แก่ แกงชนิดต่างๆ เครื่องจิ้ม ยำต่างๆ สำหรับอาหารว่างส่วนใหญ่เป็นอาหารว่างคาว ได้แก่ หมูแนม ล่าเตียง หรุ่ม รังนก ส่วนอาหารหวานส่วนใหญ่เป็นอาหารที่ทำด้วยแป้งและไข่เป็นส่วนใหญ่ มีขนมที่มีลักษณะอบกรอบ เช่น ขนมผิง ขนมลำเจียก และมีขนมที่มีน้ำหวานและกะทิเจืออยู่ด้วย ได้แก่ ซ่าหริ่ม บัวลอย เป็นต้น นอกจากนี้ วรรณคดีไทย เรื่องขุนช้างขุนแผน ซึ่งถือว่าเป็นวรรณคดีที่สะท้อนวิถีชีวิตของคนในยุคนั้นอย่างมากรวมทั้ง เรื่องอาหารการกินของชาวบ้าน พบว่ามีความนิยมขนมจีนน้ำยา และมีการกินข้าวเป็นอาหารหลัก ร่วมกับกับข้าวประเภทต่างๆ ได้แก่ แกง ต้ม ยำ และคั่ว อาหารมี ความหลากหลายมากขึ้นทั้งชนิดของอาหารคาว และอาหารหวาน
·         สมัยรัตนโกสินทร์ ยุคที่ 2 (พ.ศ. 2394 – ปัจจุบัน)
    ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ประเทศไทยมีการพัฒนาอย่างมาก และมีการตั้งโรงพิมพ์แห่งแรกในประเทศไทย ดังนั้น ตำรับอาหารการกินของไทยเริ่มมีการบันทึกมากขึ้น โดยเฉพาะในสมัยรัชกาลที่ เช่นในบทพระราชนิพนธ์เรื่องไกลบ้าน จดหมายเหตุ เสด็จประพาสต้น เป็นต้น และยังมีบันทึกต่างๆ โดยผ่านการบอกเล่าสืบทอดทางเครือญาติ และบันทึกที่เป็นทางการอื่น ๆ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ได้สะท้อนให้เห็นลักษณะของอาหารไทย ที่มีความหลากหลายทั้งที่เป็น กับข้าวอาหารจานเดียว อาหารว่าง อาหารหวาน และอาหารนานาชาติ                                                                                                                                                                ทั้งที่เป็นวิธีปรุงของราชสำนัก และวิธีปรุงแบบชาวบ้านที่สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าอาหารไทยบางชนิดในปัจจุบันได้มีวิธีการปรุงหรือส่วน ประกอบของอาหารผิดเพี้ยนไปจากของดั้งเดิม จึงทำให้รสชาติของอาหารไม่ใช่ตำรับดั้งเดิม และขาดความประณีตที่น่าจะถือว่าเป็นเอกลักษณ์ที่สำคัญของอาหาร ไทย




5 อันดับ อาหารไทยที่ติดใจคนทั่วโลก

ผัดไทกุ้งสด


ต้มยำกุ้ง


แกงเขียวหวานไก่


หมูสะเต๊ะ



ไก่ผัดมะม่วงหิมพานต์




อาหารประจำภาคต่างๆ



ภาคเหนือ

         อาหารภาคเหนือ เป็นอาหารที่มีรสชาติแบบกลางๆ มีรสเค็มนำเล็กน้อย รสเปรี้ยวและหวานมีน้อยมากหรือแทบจะไม่นิยมเลย ซึ่งอาหารภาคเหนือ จะเป็นอาหารที่สะท้อนให้เห็นถึงเอกลักษณ์ของคนภาคเหนือได้เป็นอย่างดี


แกงฮังเล



ยำสะนัด

 



ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน)

     อาหารพื้นบ้านของคนอีสานส่วนมากจะมีรส เผ็ด เค็ม เปรี้ยว คนอีสานจะรับประทานข้าวเหนียว กับอาหารพื้นบ้านที่มีรสจัด น้ำน้อย  คนภาคอีสานจึงรู้จักแสวงหาสิ่งต่างๆ ที่รับประทานได้ในท้องถิ่น นำมาดัดแปลงรับประทาน หรือประกอบเป็นอาหารทั้ง พืช ผัก ที่มาจากธรรมชาติ ปลาจากลำน้ำและเเมลงต่างๆหลายชนิด




ซุปหน่อไม้



ส้มตำ





ภาคกลาง
           อาหารพื้นบ้านภาคกลางเป็นอาหารที่มีลักษณะผสมผสานกันหลายรส มีทั้งรสเผ็ด เค็ม เปรี้ยว หวาน จืด และมักมีเครื่องเทศ กะทิ เป็นส่วนประกอบอยู่ด้วยเสมอ

 แกงเลียงกุ้งสด



ยำถั่วพู




ภาคใต้ 
อาหารพื้นบ้านของภาคใต้มีรสชาติเผ็ดกว่าภาคอื่นๆ และมีรสชาติโดดเด่นเป็นลักษณะเฉพาะ ด้วยสภาพภูมิศาสตร์อยู่ติดทะเลทั้งสองด้านมีอาหารทะเลอุดมสมบูรณ์ แต่สภาพอากาศร้อนชื้น ฝนตกตลอดปี อาหารพื้นบ้านของภาคใต้ประเภทแกงและเครื่องจิ้มจึงมีรสจัด เพื่อช่วยให้ร่างกายอบอุ่น ป้องกันการเจ็บป่วยได้อีกด้วย


แกงไตปลา



ผัดสะตอใส่กะปิ





อาหารไทยเพื่อสุขภาพ

ส้มตำ  เป็นสุดยอดของอาหารต้านสารอนุมูลอิสระ ช่วยล้างพิษให้ลำไส้ และอุดมไปด้วยใยอาหารมากมาย
ผัดไทย  เป็นอาหารขึ้นชื่อประจำชาติไทยที่ให้พลังงานสูง มีโปรตีน วิตามินซี ใยอาหาร และยังอุดมไปด้วย แคลเซียมและฟอสฟอรัส อีกทั้งยังมีสารพฤกษฮอร์โมนที่เป็นไฟโตเอสโตรเจนป้องกันมะเร็งและลดไขมันได้อีกด้วย
แกงเขียวหวาน  เป็นอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามิน โปรตีน ไขมัน มีใยอาหารสูงจากมะเขือและเบต้าแคโรทีนที่เป็นส่วนผสมของสมุนไพรในเครื่องแกง
แกงเลียง  มีไขมันน้อยและให้พลังงานต่ำ แต่อุดมไปด้วยใยอาหารจากผักต่างๆ หลากหลายชนิด
แกงพะแนง  มีโปรตีนจากเนื้อสัตว์ ไขมัน เป็นอาหารที่ให้พลังงานสูงมาก และเส้นใยอาหารที่ได้จากพืชสมุนไพรในเครื่องแกง
ต้มข่าไก่  มีไขมันต่ำ ให้พลังงานน้อย อุดมไปด้วยฟอสฟอรัส
ต้มยำกุ้ง  อุดมไปด้วย โปรตีน แร่ธาตุ และคาร์โบไฮเดรต มีไขมันน้อยมาก และโคเลสเตอรอลที่พบในกุ้งเป็นโคเลสเตอรอลชนิดดีที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย สามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจได้อีกด้วย